วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ประวัติศาสตร์เพชรบุรี


เพชรบุรีเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ เคยเป็นอาณาจักรเล็กๆ อาณา จักรหนึ่ง มีเจ้าผู้ครองนครหรือกษัตริย์ปกครอง บางสมัย เป็นอิสระ บาง สมัยอาจตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า เจ้าผู้ครองนคร ได้ ส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังเมืองจีนเป็นประจำ เมืองเพชรในสมัยโบราณ จึงเป็นที่รู้จักของพระเจ้ากรุงจีนเป็นอย่างดี เข้าใจว่ามีมาแต่สมัยฟูนันแล้ว อนึ่งจากการศึกษา ค้นคว้าปรากฏ ชื่อเจ้าผู้ครองนครเมืองเพชรบุรี ดังนี้ พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราช พระพนมไชยศิริ พระกฤติสาร พระอินทราชา พระเจ้าอู่ทอง เจ้าสาม ถึงสมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 - 16 

เมืองเพชร คงรวมอยู่ในอาณาจักรนี้ หรืออาจจะเป็นอิสระในบางสมัย ดังได้กล่าวแล้ว ในด้านศิลปกรรมจะเห็นว่ามีศิลปกรรมสมัยนี้มากมาย เช่น พระพุทธรูป พระธรรมจักรเสมาหิน ตลอดจน เครื่องใช้ ไม้สอยที่ขุดพบ ที่หนองปรง ในสมัยลพบุรี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏชื่อเมืองเพชรว่าศรีชัยวัชรบุรี ในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ สมัยพระเจ้า ชัยวรมันที่ 7 สิ่งก่อสร้างสมัยนี้ ที่ปรากฏก็คือปรางค์วัดกำแพงแลง เสมาหินทราย และพระพุทธรูป ป็นอาทิ ล่วงถึงสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีในช่วงแรกเข้าใจว่าเมืองเพชรยังเป็นนครอิสระมีเจ้าครองนครถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมืองเพชรจึงตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัย ดังจารึกที่ได้กล่าวถึงพระราชอาณาเขตของพระองค์ว่าถึงเมืองแพรก สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช 

เข้าใจกันว่าพ่อขุนรามคำแหงเคยเสด็จมาเมืองเพชร สมัยกรุงศรีอยุธยาเมืองเพชรรวมอยู่ในหัวเมืองฝ่ายตะวันตกหรือภาคตะวันตกในปัจจุบัน สมัยนี้ไทยต้องต่อสู้ข้าศึกหลายครั้ง โดย เฉพาะกับพม่าและเขมร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองเพชรเป็นเมืองหน้าด่านพม่ายกทัพผ่านเพื่อเข้าไปตีกรุงศรีอยุธยาเมืองเพชรเป็น เมือง อู่ข้าวอู่น้ำ เป็นเมืองท่า เศรษฐกิจดี จึงเป็นเมืองที่สะสมเสบียงกรังได้ดี นอกจากนี้ ทูตานุทูตต่างประเทศจำต้องผ่าน เมื่อจะเข้ากรุงศรีอยุธยาหรือเมื่อจะเดินทางกลับ ดังนั้น เจ้าเมืองเพชรบุรีจึง เป็นทั้ง นักรบที่ยอดเยี่ยม นักปกครองที่ดี รวมทั้งเป็นนักมนุษย์สัมพันธ์ ที่ดีด้วย พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา จึงทรงคัดเจ้าเมืองที่มีคุณสมบัติดังกล่าว มาปกครองเมืองเพชร ซึ่งบางครั้งอาจเป็นคนต่างชาติ เช่น แขกอาหรับ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเจ้าเมืองเพชรบุรีสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ฝากชื่อไว้ในพงศาวดาร ทั้งทางที่ดีและไม่ดีตามสภาพและสมัย เช่นพระเพชรรัตน์ 

สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระศรีสุรินทรฤาไชยรักษาเมืองให้พ้นภัยจากพญาละแวก พ.ศ. 2113 เจ้าเมืองเพชรบุรี รับ แขกเมือง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกทัพไปตีเขมรและพม่า สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดฯ ให้เจ้าเมืองเพชรบุรี เป็นทัพหน้ายกไปตีพม่าที่ปากแพรก พ.ศ. 2203 และยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2229 และการรบของเจ้าเมืองเพชรบุรี พ.ศ. 2308 ก่อนกรุงแตก เป็นต้น พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์องค์ โปรดฯเมืองเพชร ดังสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับสมเด็จพระเอกาทศรถ เคยเสด็จ มาประทับ ณ เมืองเพชรหลายราตรี ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบก๊กต่าง ๆ แล้ว ทรงตั้งเมืองธนบุรีเป็นเมืองหลวง และทรงมีเมือง รอบเมืองหลวงประมาณ 11 เมือง รวมทั้งเพชรบุรีด้วย เป็นอาณาจักรในครั้งแรกๆ ใน พ.ศ. 2312 โปรดฯ ให้พระยาจักรี พระยายมราช พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาเพชรบุรี เป็นกองทัพหน้าไปตีเมืองนครศรีธรรมราช การรบครั้งนี้ พระยาเพชรบุรีและ พระยาศรีพิพัฒน์ตายในที่รบ เนื่องจากนายทัพนายกองไม่สามัคคีกัน 

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงยกกองทัพหลวงไปทางเรือ เมื่อกอง เรือมาถึงตำบลบางทะลุ หาดเจ้าสำราญ เรือถูกพายุล่มเป็นจำนวนหลายลำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษก และสร้างกรุงเทพมหานครแล้ว พระเจ้าพดุงกษัตริย์พม่า ได้เกณฑ์รี้พลประมาณแสนเศษ โดยจัดเป็นเก้าทัพ ทางฝ่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงโปรดฯ ให้จัดทัพรับไว้ 4 ทัพ โดยโปรดฯ ให้ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกทัพใหญ่ไปที่ลาดหญ้ากาญจนบุรี สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ โปรดฯให้พระยาศรีหราช เดโชชัย พระยาท้ายน้ำ และพระยาเพชรบุรี ตั้งเป็นกองโจรคุมทหารไปคอยซุ่มโจมตีหน่วยลำเลียงเสบียงอาหาร แต่นายทัพทั้งสาม มิได้ปฏิบัติหน้าที่ จึงให้ประหารชีวิตเสียทั้ง 3 คน แล้วโปรดฯให้ พระองค์เจ้าขุนเณรไปแทน การสงครามครั้งนี้พม่าพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป ครั้นมาถึงสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดฯ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพ รวมทัพกับเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา เป็นกองทัพเรือไปไปตีหัวเมืองมลายูและสงครามครั้งนี้ เมืองกลันตัน ยอมอ่อนน้อมต่อไทย 



ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า พระองค์ทรงโปรดฯ เมืองเพชรบุรีมาก พระองค์เสด็จมาเมืองเพชรบุรี หลายครั้ง ระหว่างผนวช เคยเสด็จบำเพ็ญสมณธรรม ณ ถ้ำเขาย้อย เคยประทับแรมที่วัดมหาสมณาราม เชิงเขาพระนครคีรี และยังเสด็จทอด พระเนตร การก่อสร้างพระนครคีรี ส่วนพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ทรงเสด็จทอดกฐิน ณ วัดพระพุทธไสยาสน์ และ วัดสมณราม ในปี พ.ศ. 2403 นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ยังเคยทรงประทับแรมที่พระนครคีรี และใช้เป็นที่รับแขกเมือง ชื่อคอลออยเลน เบิร์ต จากปรเทศรัสเซีย ปี พ.ศ.2403 พระองค์ได้โปรดฯให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเทียร บนพระนครคีรีและทรงบรรจุพระธาตุ บนยอดพระเจดีย์บนเขามหาสวรรค์อีกด้วย นอกจากทรงสร้างพระนครคีรีแล้ว ยังโปรดฯให้ตกแต่งเขาหลวงซึ่งมีพระพุทธรูปโบราณในถ้ำ โดยโปรดฯ ให้สร้างบันไดหินลงไป ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชแล้ว ทรงโปรดฯ ให้ซ่อมแซม พระนครคีรีใหม่ทั้งหมด เพื่อเป็นที่ประทับแรมพักผ่อนอิริยาบถ และเพื่อใช้เป็นที่รับรองแขกเมืองด้วย 

 ทรงให้เมืองเพชรบุรีขึ้นต่อมณฑลราชบุรี และพระองค์เองก็ทรงมาประทับเมืองเพชรบุรีหลายครั้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ายังโปรดเสวยน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี และยังใช้เป็นน้ำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่มีมาแต่โบราณ นอกจากนี้โปรดฯให้สร้างพระราชวัง บ้านปืนขึ้นอีกแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเสร็จก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดฯให้สร้างต่อจนสำเร็จ พระราชทานนามว่า "พระรามราชนิเวศน์" สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับแรม ยังจังหวัดเพชรบุรีหลายครั้ง บางครั้ง นับแรมเดือน พระองค์โปรดฯ ประทับแรม ณ ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ ตำบลบางทะลุ ทะลุ อำเภอเมืองเพชรบุรี ต่อมาบริเวณนี้ มีแมลงวันชุกชุมและขาดแคลนน้ำ จึงโปรดฯ ให้ย้ายพระตำหนักไปยังตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ พระราชทานนาม ว่า"พระราช นิเวศน์มฤคทายวัน" ส่วนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงโปรดประทับ ณ พระราชวังในเมืองเพชรโปรดฯ ให้สร้าง "พระราชวังไกลกังวล" หัวหินขึ้น 

 สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โปรดฯ ให้จัดทำโครงการพระราชดำริ ศูนย์สาธิตและทดลอง การ เกษตรหุบกะพงขี้น ที่ ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ เมื่อ พ.ศ.2507 โดยมี โครงการไทย - อิสลาเอล ร่วมช่วยเหลือด้วย ต่อมาโปรดฯ ให้ จัดทำโครงการพระราชประสงค์ีสหกรณ์การเกษตรดอนขุนห้วยขึ้นอในเขตอำเภอชะอำ - ท่ายาง ซึ่งไม่ไกลจากหุบกะพงนัก เป็นที่ จำหน่ายผลิตผล ทางการเษตร เช่นผัก ผลไม้ต่าง ๆ และอาหารสำเร็จรูปตลาดนัดท่ายาง ข้อมูลเพิ่มเติม ... จากเวบไซต์ไม่ทราบชื่อ ท่านใดทราบกรุณาแจ้ง เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงข้อมูลต่อไป ประวัติความเป็นมา ของจังหวัดเพชรบุรี ร่องรอยของผู้คนในอดีตในเขตจังหวัดเพชรบุรี ปรากฏหลักฐานในรูปของโบราณวัตถุ โบราณสถานแหล่งที่อยู่อาศัยหลงเหลือ อยู่ทั่วไป ตั้งแต่ในช่วงที่เป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานแถบภูเขาทางตะวันตก ในเขต อำเภอท่ายาง จวบจนสังคม พัฒนาขึ้นภายใต้วัฒนธรรมแบบทวารวดีก็ พบร่องรอยของชุมชน เหล่านี้ในหลายพื้นที่ เช่นกลุ่มผลิตรูปเคารพหนองปรง ในเขตอำเภอ เขาย้อย กลุ่มบ้านหนองพระเนินโพธิ์ใหญ่ เนินดินแดงวัดป่าแป้น ในเขตอำเภอบ้านลาด กลุ่มเขากระจิวในเขตอำเภอท่ายาง กลุ่มทุ่ง เศรษฐีในเขตอำเภอชะอำ แต่ในลุ่มแม่น้ำเพชรบุรีก็ยังไม่พบหลักฐานของเมืองที่มีคูน้ำ คันดินล้อมรอบแบบเมืองทวารวดี ที่พบทั่วไป ในลุ่มแม่น้ำสำคัญอื่น ๆ ในแถบ ภาคกลางของไทย แต่ก็พบหลักฐานโบราณวัตถุแบบทวารวดี คือธรรมจักรหินในบริเวณชุมชนเก่า ทางฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำเพชรบุรี 

เพชรบุรีในวัฒนธรรมเขมรโบราณ เมื่อชุมชนในแถบลุ่มแม่น้ำเพชรบุรี ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณ ในช่วงเวลานี้น่าจะมีการพัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง คงมีการสร้างเมืองในรูปแบบของวัฒนธรรมเขมรโบราณ เป็นรูปสี่เหลี่ยมขึ้นที่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ เพชรบุรี(ปัจจุบันอยู่ในเขต ตำบลช่องสะแกอำเภอเมืองเพชรบุรี)ผลจากการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศ(โดยผ่องศรี วนาสิน และทิวา ภู่จรรยา) พบว่าบริเวณ เมืองเพชรบุรี มีร่องรอยของแนวคูเมืองและกำแพงเมือง ที่มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ใกล้จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มากกว่าสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวของแนวคูเมือง กำแพงเมือง แต่ละด้านกว่า 1 กิโลเมตร เมืองนี้ใช้แม่น้ำเพชรบุรีเป็นคูเมืองด้านทิศตะวันตก ลักษณะของ ผังเมืองที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม แบบสม่ำเสมอ เป็นเมืองที่มีอายุหลังสมัยทวารวดี มักพบมากในช่วงที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณ ลงมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น จึงอาจกล่าวได้ว่าร่องรอยของแนวคูเมืองกำแพงเมืองที่หลงเหลืออยู่นี้เป็นร่องรอยของเมืองตั้งแต่ในช่วงที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรม เขมร หลักฐานที่เป็นเครื่องสนับสนุนความเป็นบ้านเป็นเมืองในช่วงเวลานี้คือ โบราณสถานที่วัดกำแพงแลง อันได้แก่ปรางค์ศิลาแลง 5 องค์ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและรูปเคารพที่ได้จากบริเวณนี้ ล้วนมีอิทธิพลศิลปเขมรโบราณแบบบายน ที่มีอายุอยู่ในราวพุทธ ศตวรรษที่ 18 ถึง 19 และถ้าหากเชื่อว่าเมืองนี้คือหนึ่งในเมืองที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ได้ทรงประดิษฐาน พระชัยพุทธมหานาถไว้ 

เมืองนี้ก็คือเมืองศรีชัยวัชรบุรี ชื่อเมืองและที่ตั้งของเมือง ชื่อของเมืองเพชรบุรีปรากฏหลักฐานแน่ชัด ในศิลาจารึกสุโขทัย 2 หลัก คือศิลาจารึกหลักที่ 1 และศิลาจารึกวัดเขากบ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ตอนที่กล่าวถึงเมืองในอาณาเขตของสุโขทัยที่อยู่ทางใต้กล่าวว่า "เบื้องหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว" จากข้อความในจารึกแสดงให้เห็นว่า เพชรบุรี มีฐานะเป็นเมืองที่น่าจะมีความสำคัญใกล้เคียงกับเมืองต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวถึงในจารึก เช่น สุพรรณภูมิ ราชบุรี และนครศรีธรรมราช และในศิลาจารึกวัดเขากบ ที่กล่าวถึงการแสวงหาพระธาตุ จนถึงเมืองอินเดียและลังกาตอนหนึ่ง กล่าวถึงเส้นทางขากลับที่ ได้เดินทางมา ขึ้นบกที่ตะนาวศรี แล้วตัดข้ามมาเพชรบุรี ย้อนขึ้นไปยังราชบุรีและอโยธยาดังนี้ "…โสด ผสมสิบข้าว ข้ามมาลุตะนาวศรี เพื่อเลือกเอา ฝูงคนดี …สิงหลทีป รอดพระพุทธศรีอารยไมตรี เพชรบุรี ราชบุรี อโยธยา ศรีรามเทพนคร…" สำหรับที่ตั้งของเมืองเพชรบุรี ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่อาจกล่าวได้เนื่องจาก ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่ถ้าหากพิจารณาจาก หลักฐาน ที่หลงเหลืออยู่ในด้านศิลปสถาปัตยกรรม ก็ไม่พบอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่เด่นชัด แต่มีข้อน่าสนใจประการหนึ่งคือ ที่วัดมหาธาตุเมือง เพชรบุรี แม้ว่าจะไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาเมื่อใด และผ่านการบูรณะมาหลายครั้งหลายสมัย แต่ก็พบว่าฐานรากมีอิฐ ขนาดใหญ่ แบบเดียวกับที่ใช้สร้างโบราณสถานในวัฒนธรรมทวารวดี 

น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานชัดแจ้ง รูปทรงองค์ปรางค์ที่ ปรากฏอยู่ก็เป็นการบูรณะ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งอาจคงเค้าเดิมไว้คล้ายกับองค์มหาธาตุอื่นๆ ที่ได้รับการบูรณะในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือทรงเรียวแบบฝักข้าวโพด ประกอบกับหลักฐานแวดล้อมอื่น เช่น ศาสนสถานอื่นๆ ก็ปรากฏเป็นสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเมื่อมีการบูรณะในปัจจุบันพบโบราณวัตถุ เช่น เครื่องถ้วยจีนเป็นเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์สุ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 19 อาจเป็นการนำของ มีค่าในยุคก่อนนำมาฝังก็เป็นได้ แต่ก็ไม่น่าจะมีอายุห่างจากโบราณวัตถุมากนัก อาจจะราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงต้นพุทธ ศตวรรษที่ 19 ก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ตามก็ยังมีหลักฐานอื่น ที่เก่าไปกว่าสมัยอยุธยาเป็นเครื่องสนับสนุน คือ พระพุทธรูปหินทรายแดงขนาดใหญ่ ศิลปะแบบอู่ทอง และยังมีเสมาที่มีลวดลาย ซึ่งนักวิชาการบางท่านเชื่อว่า เป็นศิลปะอู่ทองหรือศิลปะแบบก่อนอยุธยา จึงกล่าวได้ว่า วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบุรีนี้ มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาอันเป็นช่วงเวลา ที่พุทธศาสนาเถรวาทจากลังกา ที่นครศรีธรรมราช แพร่หลายขึ้นมา ผ่านเพชรบุรีดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นไปยังสุโขทัย แล้วเป็นศาสนาหลักของสังคมที่เป็นบ่อเกิดของ วัฒนธรรมอีกหลายด้าน โดยเฉพาะในส่วนที่เนื่องในศาสนา เป็นต้นว่าการสร้างศาสนสถาน เมื่อไทยรับเอาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเมื่อต้นสุโขทัย ได้เกิดธรรมเนียมการมีวัดมหาธาตุเป็นวัดสำคัญของเมืองแต่มิได้หมาย ความว่าพระธาตุเจดีย์เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยสุโขทัย เนื่องจากมีธาตุเจดีย์อีกหลายองค์ที่มีอายุเก่ากว่ายุคสุโขทัย เช่นพระบรมธาตุเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ธรรมเนียมการสร้างธาตุเจดีย์เป็นปูชนียสถาน น่าจะเข้ามาตั้งแต่ครั้งที่พระพุทธศาสนา เข้ามาในดินแดนที่เป็นประเทศไทย ในปัจจุบัน ในระยะแรก ๆ ส่วนธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจากลัทธิลังกาวงศ์คือ การมีวัดมหาธาตุเป็นหลักของเมือง มีข้อสนับสนุน จากโบราณสถานที่ปรากฏในปัจจุบัน ในเมืองสำคัญ ๆ หลายเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองสุโขทัย ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก สุพรรณบุรี ราชบุรี สวรรค์บุรี และสิงห์บุรี เป็นต้น ล้วนแต่มีวัดมหาธาตุเป็นวัดหลักของเมืองทั้งสิ้น รวมทั้งเมือง เพชรบุรีด้วย ความสัมพันธ์ของเมืองเพชรบุรีกับสุโขทัย ในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่าจะไม่เด่นชัด แต่จากข้อความในจารึกสุโขทัยทั้ง 2 หลักที่กล่าวข้างต้นก็บ่งชัดว่า เพชรบุรีมีฐานะเป็นเมืองเมืองหนึ่ง ตำแหน่งที่ตั้งของมหาธาตุนี้อยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรีทางฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่คนละฟากกับเมือง ในสมัยที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทวัดกำแพงแลง หากว่าวัดมหาธาตุ ได้สถาปนาขึ้นในช่วงสมัยสุโขทัย บ้านเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเพชรบุรี ก็คงมีความสำคัญ อาจเป็นศูนย์กลาง ของเมือง ในช่วงเวลาดังกล่าว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดให้ชำระขึ้น มีความตอนหนึ่งว่าสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ตอนหนึ่งในพระราชบัญญัติหัวเมืองบัญญัติไว้ว่า "…ออกพระศรีสุริทฤาไชย เมืองเพชญบุรีขึ้นประแดงเสนฎขวา…" โดยมีฐานะเป็นเมืองจัตวา และในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองเพชรบุรีจัดอยู่ในหัวเมือง ฝ่ายตะวันตก โดยปรากฏหลักฐานอยู่ในคำให้การชาวกรุงเก่า โดยเรียกว่าเมืองวิดพรี 

นอกจากในเอกสารของไทยแล้ว ในเอกสารของชาวตะวันตก ที่เข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยังได้บันทึกเรื่องราวของเมืองเพชรบุรี ไว้อีกหลายที่ด้วยกันเช่น Tome Pires ชาวโปรตุเกส ที่เดินทางไปยังอินเดียและมะละกา ในปี พ.ศ.2054และได้ทำบันทึกเกี่ยวกับ เมืองที่สำคัญ ที่มี บทบาททางการค้าระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกเอาไว้ โดยกล่าวถึงเมืองเพชรบุรี (Peperim , Pepory) ว่าเป็นเมืองท่า ที่สำคัญเมืองหนึ่งใน เขตฝั่งตะวันออก แล้วยังเป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครองเยี่ยงกษัตริย์ และยังมีสำเภาส่งไปค้าขายยังภูมิภาคต่างๆ ด้วย ส่วนในประวัติศาสตร์แห่ง พระราชอาณาจักรสยาม ของนายฟรังซัวร์ อังรี ตุรแปง กล่าวว่า เมืองเพชรบุรี (Pipli) เป็นท่าเรือติดทะเล ค้าข้าว ผ้า และฝ้ายมาก นิโกลาส์ แชรแวส ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามา กรุงศรีอยุธยาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ ได้กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมือง แห่งราชอาณาจักรสยาม ในบทที่ว่าด้วยเมืองบางกอกและเมืองท่าอื่น ๆ กล่าวถึง เมืองเพชรบุรีไว้ด้วยคือ "เมืองพิบพลี (Piply :เพชรบุรี)… อยู่ไกลจากปากน้ำเพียง 10 หรือ 12 ลี้ เท่านั้น เป็นเมืองเก่ามาก กล่าวกันว่าเคยเป็นเมืองที่งดงาม…" จดหมายเหตุ การเดินทางของพระสังฆราช แห่งเบริธ ที่เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2205 (สมัยสมเด็จพระนารายณ์) ได้กล่าวถึงเมืองเพชรบุรี ไว้ว่า "จากเมืองปราณบุรี เรามาถึงเมืองเพชรบุรี (Pipili)เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม โดยใช้เวลา เดินทาง 5 วัน เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่และมีกำแพงเมืองก่ออิฐ" จาก The History of Japan together with a description of theKingdom of Siam 1690 - 92 ของ Engellbert Kaempfer M.D. ที่เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.2233 ได้บรรยายเส้นทางการเดินทางไว้ตอนหนึ่งว่า "…ต่อจากนั้นก็ถึงจาม (Czam) 

ถัดขึ้นไปคือเพชรบุรี (Putprib)" ในจดหมายเหตุของมองสิเออร์เซเบเรต์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตอนที่กล่าวถึงการเดินทางเพื่อไปลงเรือที่เมืองมะริด ในปี พ.ศ.2230 ได้บรรยายเมือง เพชรบุรีไว้ว่า "เมืองเพชรบุรีนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ในประเทศสยามและเดิมๆ พระเจ้าแผ่นดินสยามก็เคยมาประทับ อยู่ในเมืองนี้เสมอ ๆ เมืองนี้มีกำแพงก่อด้วยอิฐล้อมรอบและมีหอรบหลายแห่ง แต่กำแพงนั้นชำรุดหักพังลงมากแล้ว ยังเหลือดีอยู่แถบเดียว เท่านั้น บ้านเรือนในเมืองนี้ไม่งดงามเลย เพราะเป็นเรือนปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งสิ้น สิ่งที่งามมีแต่วัดวารามเท่านั้น และวัดในเมืองนี้ก็มีเป็นอันมาก…" จากเอกสารต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า ในเอกสารฝ่ายไทย เรียก เมืองเพชรบุรี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า เมืองเพชญบุรี ส่วนที่เรียกว่า เมืองวิดพรี ในคำให้การชาวกรุงเก่านั้นเอกสารฉบับนี้ ต้นฉบับเป็นภาษาพม่า กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ ขอคัด สำเนามาจากพม่า แล้วมาแปลเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่ง เป็นเรื่องราวพงศาวดารไทย ี่พระเจ้าอังวะกษัตริย์พม่าให้เรียบเรียงจาก คำให้การของชาไทย ที่ถูกกวาดต้อนไปเมื่อ ครั้งพม่ายกมาตีกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นไปได้ว่าชื่อวิดพรีนั้นเป็นการเรียกตามสำเนียงพม่า ส่วนในเอกสารชาว ตะวันตกที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา ก็เรียกชื่อเมืองเพชรบุรี แตกต่างกันไปหลายแบบคือ 

Tome Pires ชาวโปรตุเกส (พ.ศ.2054) เรียกว่า Peperim,Pepory ในจดหมายเหตุการเดินทางของพระสังราชแห่งเบริธ (พ.ศ.2205) เรียก Pipili ในประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม ของนิโกลาส์ แชรแวส เรียก Piply ส่วนใน The History of Japan together with a descriptionof the Kingdom of Siam 1690 - 92 ของ Engellbert Kaempfer M.D.(พ.ศ.2233) เรียก Putprib หตุที่มีการเรียกชื่อเมืองเพชรบุรีแตกต่างกันหลายแบบ น่าจะเป็นการถ่ายเสียง จากภาษาไทยตามสำเนียงของแต่ละชาติแต่ละภาษา
                                                                                                                             << กลับหน้าหลัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประวัติศาสตร์เพชรบุรี

เพชรบุรีเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ เคยเป็นอาณาจักรเล็กๆ อาณา จักรหนึ่ง มีเจ้าผู้ครองนครหรือกษัตริย์ปกครอง บางสมัย เป็นอิสระ บาง สมัยอาจตกเป็น...